วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิธีการรับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น



          สำหรับผู้ที่ได้เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประโยชน์ต่าง ๆ ของ น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น มักจะมีข้อสงสัยว่า ควรจะรับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ในปริมาณวันละเท่าไหร่ คำตอบก็คือ จะรับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น วันละเท่าไหร่ก็ได้ตามความสะดวก หรือที่รู้สึกว่าเหมาะสม เพราะแม้จะรับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น เพียงแค่วันละครึ่งช้อน ก็จะได้รับประโยชน์จาก น้ำมันมะพร้าว แล้ว แต่ขนาดที่แนะนำกันโดยทั่ว ๆ ไปก็คือ สามช้อนโต๊ะครึ่ง สำหรับผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นปริมาณที่มีอัตราส่วนพอ ๆ กับกรดไขมันสายปานกลางธรรมชาติที่พบในน้ำนมแม่ และก็เป็นปริมาณเพียงพอที่จะป้องกันทารกจากการติดเชื้อ การเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ รวมถึงช่วยให้การรับสารอาหารที่มีคุณค่าในสภาวะปกติทั่ว ๆ ไป โดยค่อย ๆ รับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น คราวละน้อย ๆ เฉลี่ยไปตลอดทั้งวันจนครบจำนวน สามช้อนโต๊ะครึ่ง
          ผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม รับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ปริมาณ สามช้อนโต๊ะครึ่ง ก็เป็นปริมาณที่เหมาะสม แต่ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่านี้ก็สามารถลดปริมาณลงสักครึ่งช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักที่น้อยลง 10 กิโลกรัม เช่นถ้าหนัก 60 กิโลกรัม ก็รับประทานแค่สามช้อนโต๊ะ ก็ถือว่าเหมาะสม ส่วนผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม ก็สามารถรับประทาน น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ได้ในประมาณวันละ สี่ช้อนโต๊ะ
          การใช้ น้ำมันมะพร้าว ในการประกอบอาหาร
          คนไทยมักจะใช้กะทิประกอบอาหารทั้งคาวและหวานมาตั้งแต่โบราณ โดยไม่ปรากฏว่า เป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคอ้วน จนกระทั่งเราเปลี่ยนมาใช้น้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง จึงเกิดเป็นโรคต่าง ๆ ดังกล่าวมากขึ้น กะทิกับ น้ำมันมะพร้าว เป็นสารตัวเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในรูปต่างกัน ซึ่งมีข้อดีได้แก่
1.       กะทิ และ น้ำมันมะพร้าว มีความอิ่มตัว ทำให้ออกซิเจน และไฮโดรเจน เข้าแทรกไม่ได้ จึงไม่เกิด trans fat และไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง และทำอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย
2.       เป็นโมเลกุลขนาดกลาง กะทิหรือ น้ำมันมะพร้าว จึงเคลื่อนย้ายในร่างกายได้รวดเร็ว จากกระเพาะไปลำไส้ และเปลี่ยนเป็นพลังงานในตับ จึงไม่สะสมเป็นไขมัน ดังเช่น น้ำมันไม่อิ่มตัว
3.       มีภูมิคุ้มกันเกิดจากกรดคลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับน้ำนมแม่ ที่ช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันโรค อีกทั้งยังทำลายเชื้อโรคแทบทุกชนิดได้ และมีวิตามินอี ที่สามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาทำลายเซลล์ก่อให้เกิดมะเร็ง และโรคแห่งความเสื่อมอีกหลายโรค
          การผัดอาหารควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันทานตะวัน หรือน้ำมันข้าวโพด แต่หากจะทอดอาหารแล้วควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหมู เพราะการทอดอาหารจะต้องใช้ความร้อนสูงมาก หากใช้น้ำมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันพืชนั้น ซึ่งจะมีจุดเดือดประมาณ 180 องศาเซลเซียส โดยที่จุดนี้จะเกิดสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายหลากหลายชนิด
          การใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ในการทอดอาหารจึงมีความเหมาะสม เนื่องจาก ทั้งน้ำมันหมู และ น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น เป็นน้ำมันที่มี กรดไขมันอิ่มตัวสูง (น้ำมันหมู 40% น้ำมันมะพร้าว 88%) มีสูตรโครงสร้างทางเคมีที่จับกับธาตุคาร์บอน ในลักษณะแขนเดี่ยว เมื่อโดนความร้อนสูง ก็ทำให้อาหารกรอบ อร่อย ไม่มีสารเคมีเป็นพิษ และน้ำมันที่ใช้ทอดแล้ว เก็บไว้ทอดซ้ำเกิน 2 ครั้งไม่ได้ เพราะจะดำและเหม็นหืน ซึ่งจะต่างจากน้ำมันพืชอื่น ๆ ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว มีโครงสร้างเคมีเป็นแขนคู่ ในการจับกับธาตุคาร์บอน จึงสามารถจับกับธาตุไฮโดรเจนเพิ่มได้อีก 2 อะตอม จึงเหมาะกับการเติมไฮโดรเจน ซึ่งเรียกว่า Trans Falty Acid
          Trans Fat นี้เป็นผลลัพธ์ของความพยายามที่จะทำให้น้ำมันพืชมีลักษณะเหมือนกับน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง ที่จะสามารถทำให้ทอดอาหารได้กรอบอร่อย แต่จะมีปัญหาที่ตามมาคือ ความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน มะเร็งเต้านม เพราะน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธี Tran Fat เหล่านี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกายได้ง่าย ๆ เหมือน น้ำมันมะพร้าว ที่ละลายน้ำได้
          น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เป็นการสกัดด้วยความร้อนทำให้ไหม้เกรียมและดำ ทำให้ต้องใช้เคมี เช่น โซดาไฟ ฟอกขาว และการเติมไฮโดรเจน ทำให้น้ำมันพืชเก็บไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืนง่าย แต่ไฮโดรเจนก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี ทำให้น้ำมันพืชที่ไม่อิ่มตัวกลายเป็นน้ำมันพืชอิ่มตัว และมีลักษณะหนืดเหนียว จับเป็นก้อนแข็งในอุณหภูมิ 37-40 องศาเซลเซียส
          น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น เป็นน้ำมันที่ได้จากการสกัดแบบธรรมชาติ คือ บีบเย็น (Cold Process) หรือ การบีบคั้นโดยไม่ใช้ความร้อน ส่วนใหญ่แล้วดี คือมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เมื่อเอาน้ำมันพืชไปดัดแปลงทางเคมี คือเติมไฮโดรเจนเข้าไปก็เลยกลายเป็นโทษ น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ถ้านำมารับประทาน โดยไม่ผ่านการผัด การทอด ก็จะยิ่งทำให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย สปาหลาย ๆ แห่งจึงนำ น้ำมันมะพร้าว สกัดเย็น ไปใช้เสริมสวย บำรุงผิวให้กับลูกค้า